โดย วาร์ช่า นายร์
Please note that this publication is currently under review and will be subject to changes.
This key note was presented on May 19, 2022 at Zurich University for the symposium, In Light of Crisis: The Fraught Significations of Contemporary Biennials.
ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นนิยามช่วงเวลาสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ใช้เวลากว่า 24 ปีที่ประเทศไทยอย่างไรดี ช่วงเวลานั้นมีค่าสำหรับตัวฉัน เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับวูแมนิเฟสโต ตั้งแต่ที่ฉันมาอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2538 ก็ดูราวกับว่าเส้นทางของเราถูกลิขิตไว้แล้ว เส้นทางนั้นยังคงเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่ได้วางแผนไว้ และไม่ได้ตัดทอนให้เป็นไปตามที่กำหนดแต่อย่างใด ฉันจำได้ว่ามีคนเคยถามฉันเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะว่า งานที่ฉันลงแรงไปกับวูแมนิเฟสโตมีความหมายกับฉันอย่างไรบ้างในฐานะศิลปินคนหนึ่ง และฉันก็ตอบออกไปทันทีว่า นี่คือแนวทางการทำงานศิลปะของฉัน แรงงานเบื้องหลังนั้นแทบไม่เป็นที่รู้จัก แต่ศิลปินทุกคนทราบดีว่าเป็นส่วนสำคัญในแนวทางการทำงานของเรา สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกัน การรวมตัวผู้คนและสิ่งต่างๆ การสนทนา ความผกผันในชีวิต ไอเดียที่หลั่งไหลเข้ามา ความเคลื่อนไหวและการหยุดนิ่ง ต่างเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของฉันในฐานะศิลปิน ความเชื่อมโยงเหล่านี้กลายเป็นรากฐานที่มั่นคง และยังคงพัฒนาต่อไป
ตอนที่ฉันได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรหลักหรือที่เรียกว่าคีย์โน้ตสปีกเกอร์ในงานสัมมนา In Light of Crisis: The Fraught Significations of Contemporary Biennales ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยซูริกเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 25651 นั่นถือเป็นครั้งแรกที่ฉันได้สวมบทบาทนี้ ฉันเริ่มพิจารณาคำศัพท์ต่างๆ และครุ่นคิดว่าสิ่งนี้กำหนดรูปแบบและโน้มน้าวความคิดของเราอย่างไรบ้าง ในฐานะศิลปิน เรื่องนี้ทำให้ฉันอึดอัดใจ แน่นอนว่าเราต้องมีโครงสร้างเพื่อทำงานสักงานให้สำเร็จ แต่โครงสร้างที่ปรากฏในพื้นที่งานศิลปะมักจะเป็นไปเพื่อตอบสนองเป้าประสงค์ทั้งภายในและภายนอกบางรูปแบบ แม้จะพยายามวางแผนหรือแสร้งว่าไม่ได้เป็นแบบนั้นอยู่บ่อยครั้ง
ฉันเชื่อมโยงคำว่า ‘คีย์โน้ต’ กับดนตรี โน้ตที่กำหนดไว้ให้คนฟังแล้วเล่นตามให้ได้เสียงเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้ฉันนึกถึงความยืดหยุ่น โดยเฉพาะในโน้ตดนตรีราฆะคลาสสิกของอินเดีย ราฆะแปลตรงตัวว่า ‘ภาพระบายสี’ และความสามารถของบุคคลในการรังสรรค์ชุดโน้ตดนตรีและหลากหลายโทนเสียงตามจินตนาการ จึงเป็นการกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกดั่ง ‘การระบายสีลงในจิตใจ’ ตานปุระที่ใช้บรรเลงมักถูกปรับโน้ต 2 ตัวเพื่อใช้อ้างอิงเป็นเสียงบรรเลงอยู่เบื้องหลัง และไม่ได้มีบทประพันธ์เขียนไว้หรือแจกจ่ายให้ร้องหรือเล่นดนตรีแต่อย่างใด มีก็แต่เพียงโน้ตจำนวนหนึ่งให้บรรเลง และนักดนตรีหรือนักร้องต้องรังสรรค์ผลงานผสมผสานรูปแบบใหม่จากความคิดของตัวเองในแต่ละครั้ง
ดังนั้นศิลปินแต่ละคนจึงนำเสนอราฆะในแบบของตัวเอง จากประสบการณ์ของฉันในฐานะนักเรียนวิชาดนตรีอินเดียคลาสสิก อิสระในการสร้างสรรค์นี้ทั้งน่าดึงดูดใจและชวนให้หนักใจไปพร้อมๆ กัน ตอนที่คุณคิดว่าได้พัฒนาตัวเองไปจนถึงจุดหนึ่งแล้ว คุณก็จะพบเส้นทาง เรื่องราว และการตีความมากมายที่ปรากฏขึ้นมา แล้วคุณจะพบว่าตัวเองยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้น ซึ่งเป็นจุดที่เริ่มรู้สึกตัว ตอนที่คุณไปถึงจุดนั้น ในพื้นที่จำกัดที่กลายเป็นส่วนสำคัญซึ่งคุณได้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว สิ่งที่มีอยู่ในที่นี่ตอนนี้ และสิ่งที่จะทำต่อไปได้ในอนาคต แม้จะพยายามเปิดเผยสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่ไม่ปรากฏชัด และควรจะต้องเป็นแบบนั้น... เพื่อก้าวข้ามจุดเริ่มต้นไปค้นพบสิ่งที่ไม่คาดคิด
เหตุผลที่การเดินทางไม่ได้เป็นแค่การไปถึงจุดหมายที่กำหนด แต่เป็นการเปิดกว้างต่อเหตุการณ์ที่เผชิญในการเดินทางนั้น และความคิดนี้เป็นที่มาของแนวคิดการปิกนิกใน Womanifesto Workshop 2001 ที่ให้กลุ่มศิลปินผู้หญิงในประเทศและต่างประเทศออกจากเมืองใหญ่และมุ่งหน้าสู่ไร่ในพื้นที่ห่างไกลทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ. 2538 ตอนที่ฉันย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทย วูแมนิเฟสโตได้ก่อตั้งขึ้นมาแล้วโดยกลุ่มผู้หญิงชาวไทยที่มีทั้งศิลปิน กวี และนักเขียน ตลอดจนนักกิจกรรม หลังจากนั้นก็ได้มีการจัดนิทรรศการในชื่อ Tradisexion2 ขึ้นใน พ.ศ. 25383 ด้วย ‘Womanifesto’ เป็นชื่อที่เสนอโดยนพรัตน์ โชคชัยชุติกุล (มิงค์) ตอนนั้นมิงค์ได้รับแรงบันดาลใจที่จะวิเคราะห์คำกล่าวของซีโมน เดอ โบวัวร์ ที่ว่า “เราไม่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิง แต่เราค่อยๆ กลายเป็นผู้หญิง”4 จึงได้เริ่มค้นหาความหมายของทุกคำในพจนานุกรม ตั้งแต่คำว่า ‘Man’ ไปจนถึงคำว่า ‘Manifesto’ จากนั้นเธอก็ได้เติม ‘Wo’ ไว้ข้างหน้า และกลายเป็นวูแมนิเฟสโต ซึ่งเป็นชื่อนิทรรศการที่รวมกลุ่มศิลปินในประเทศและต่างประเทศเพื่อมาพูดคุยกับผู้มีส่วนร่วมในผลงาน Tradisexion การให้ความสำคัญกับศิลปินหญิงในเรื่องที่พูดคุยและเปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับรู้มุมมองของพวกเธอนั้น จะช่วยสร้างพื้นที่เพื่อสนับสนุนและนำเสนอความคิดเห็นที่คนจากทั่วทุกมุมโลกร่วมกันส่งเสียง
ในปีเดียวกันนั้นยังมีการจัดงาน World Conference on Women ครั้งที่ 4 ที่ปักกิ่งด้วย และศิลปินก็ทราบวาระสำคัญระดับโลกของงานนั้นที่มุ่งเน้นการผลักดันความเท่าเทียมทางเพศ เนื่องจากขาดพื้นที่ในการพบปะและนำเสนอผลงาน งานวูแมนิเฟสโตครั้งแรกใน พ.ศ. 2540 จึงจัดขึ้นเพื่อนำเสนอนิทรรศการผลงานจากกลุ่มศิลปินหญิงในประเทศและต่างประเทศจำนวน 18 คน
ตอนที่ฉันได้รับเชิญให้เข้าร่วม สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจอย่างมากคือ ฉันได้มีโอกาสเข้าร่วมงานพบปะที่จัดขึ้นไม่บ่อยนัก และจะได้เจอกับศิลปินคนอื่นๆ ที่อยู่ในประเทศ รวมถึงคนที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านและประเทศที่ห่างไกล ฉันเป็นคนสุดท้ายที่เข้าร่วมกลุ่ม และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้รับเชิญจากนิตยา เอื้ออารีวรกุล ให้มาร่วมจัดนิทรรศการวูแมนิเฟสโต มีความสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ ศิลปินเป็นผู้นำในการจัดงานนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม และยังคงเป็นเช่นนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนั้นยังมีลักษณะเป็นองค์กรแบบเปิด ซึ่งศิลปินที่มีไอเดียและต้องการหรือสามารถแบ่งเวลามาได้จะได้มีโอกาสตั้งทีมหรือเข้าร่วมทีมจัดงาน
นิทรรศการแรกเปิดตัวตรงกับวันสตรีสากลเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2540 ท่ามกลางวิกฤตทางการเงินในเอเชียที่ก่อตัวขึ้นและลุกลามหลังจากนั้นไม่นาน วิกฤตการณ์ครั้งนั้นยังส่งผลกระทบต่อเนื่องในระยะยาว อาคารร้างบางแห่งในกรุงเทพฯ ยังคงสร้างไม่เสร็จมาจนถึงปัจจุบัน ฉันเริ่มเก็บสะสมหนังสือพิมพ์และหน้าโฆษณาแทรก หน้าตลาดหุ้นและรายงานติดตามผลเกี่ยวกับวิกฤตครั้งนี้ รวมถึงรูปภาพอาคารร้างในกรุงเทพฯ เพื่อสร้างผลงานที่ฉันตั้งชื่อว่า woven landscapes เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ฉันก็ได้หยิบเอารูปภาพและเอกสารที่สะสมมาทำเป็นวิดีโอเพื่อฉายขึ้นอาคารแห่งหนึ่งจาก Bridge Artspace ที่อยู่ติดกันใน พ.ศ. 2561 ก่อนจะจากกรุงเทพฯ ไปตลอดกาล ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจและการเมืองส่งผลต่อเนื่องอยู่เสมอ
หลังจากการรัฐประหารหลายต่อหลายครั้งเพื่อขับไล่ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง ปัจจุบันนี้กองทัพและสถาบันฯ ได้เข้ามากุมอำนาจโดยเบ็ดเสร็จ สถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือ ความโกลาหลทางการเมืองที่ไม่จบสิ้น การปิดกั้นอิสรภาพ การจับกุมนักเรียนนักศึกษา ตลอดจนนักกิจกรรมที่สูญหายหรือถูกฆาตกรรม ในสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ ศิลปิน นักออกแบบ และนักเรียนนักศึกษาหลายคนได้หันมาใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยในการแสดงความไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงใช้ติดต่อกับคนหมู่มาก และคิดหากลยุทธ์ในการแสดงออก พบปะ และประท้วง ตลอดจนพูดคุยถึงสถานการณ์เลวร้ายในประเทศ
ในช่วงทศวรรษนับตั้งแต่ พ.ศ. 2533 ศิลปินได้รับการสนับสนุนน้อยมาก โดยเฉพาะศิลปินที่ทำงานอิสระ และมีสถาบันเพียงไม่กี่แห่งที่เราสามารถเข้าไปขอเงินทุนได้ จึงเป็นที่แน่นอนว่าเราต้องยืนให้ได้ด้วยตัวเองและทำทุกอย่างเอง เงินทุนที่เราได้รับมาเพียงน้อยนิดแทบไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ทำให้เราต้องยอมควักเนื้อ และศิลปินที่เข้าร่วมนิทรรศการวูแมนิเฟสโต ใน พ.ศ. 2540 (และงานต่อๆ มา) ก็มักจะต้องออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางเอง จัดแสดงงานด้วยตัวเอง ช่วยคนอื่นๆ จัดแสดงผลงาน และมีส่วนร่วมในหลายๆ เรื่อง เราเปิดบ้านตัวเองเพื่อใช้ต้อนรับศิลปิน จนได้กลายมาเป็นพื้นที่สำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดการพูดคุยอย่างเป็นกันเอง เพื่อบอกเล่าความเห็นและแนวคิดต่างๆ จากสถานการณ์จริงที่เราเผชิญอยู่ จนก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมา การที่เราได้มาทำความรู้จักและผูกมิตรกับศิลปินคนอื่นๆ ไม่ได้เกิดขึ้นในนิทรรศการกลุ่มเสมอไป หากผู้จัดงานไม่ได้เอาใจใส่ในการแนะนำผู้เข้าร่วมงานหรือพามารวมตัวเพื่อส่งเสริมการเชื่อมสัมพันธ์ภายในกลุ่มและสนับสนุนการสร้างมิตรภาพ
เรื่องที่เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างรับประทานอาหารนอกแกลเลอรีได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ กลยุทธ์ต่างๆ เริ่มเกิดขึ้นจากการพูดคุยอย่างสบายๆ และเรายังได้รับเชิญให้ไปร่วมงานของศิลปินคนอื่นๆ เป็นการแลกเปลี่ยน เช่น ทาริ อิโต ที่ญี่ปุ่น, อแมนด้า เฮ็ง ที่สิงคโปร์ และสันจา อิเวโกวิค ที่โครเอเชีย ซึ่งได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์จากตัวฉันเอง และเครือข่ายนี้ก็ขยายวงกว้างออกไปเอง จนเราไม่ต้องรอให้คนคัดเลือกหรือมาเชิญไปร่วมงาน
การเขียน การพูดคุย การเผยแพร่ข้อมูล และการวาดภาพเกี่ยวกับงานที่เราทำนั้นยังถือเป็นการยืนกรานเพื่อทวงสิทธิ์ในพื้นที่แสดงออกและปฏิเสธการลบเลือนตัวตน เพื่อต่อสู้กับความพยายามที่จะผลักไสพวกเราออกไปจากประเด็นการพูดคุยด้านศิลปะในพื้นที่ที่เราอยู่ ยกตัวอย่างเช่น แนวคิดการกระจายอำนาจของวูแมนิเฟสโตเริ่มต้นจากเวิร์กช็อปใน พ.ศ. 2544 และการจัดให้มีการพูดคุยอย่างต่อเนื่องกับชุมชนชาวไร่ / ชาวชนบท แต่กลับไม่เป็นที่พูดถึงหรือหยิบยกไปพูดคุย / พิจารณาในงานเสวนา / งานประชุมระดับชาติและนานาชาติเลย หรือแม้แต่ในงานวิจัยและงานเขียนทางวิชาการเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติงานในชุมชน / พื้นที่ชนบทอื่นๆ ในประเทศไทย เช่น งาน Art on the Farm ของจิม ทอมป์สันฟาร์ม มูลนิธิที่นาซึ่งตั้งอยู่นอกเชียงใหม่ หรือโปรเจกต์อื่นๆ ในแบบเดียวกันที่จัดขึ้นในพื้นที่อื่น
งานจัดแสดง 2 ครั้งแรกของวูแมนิเฟสโตเป็นนิทรรศการที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ ที่ Concrete House และแกลเลอรีบ้านเจ้าพระยา เมื่อ พ.ศ. 2540 และในพื้นที่กลางแจ้งของสวนสราญรมย์เมื่อ พ.ศ. 2542 นอกจากจะได้นำเสนอผลงานแล้ว เรายังได้ตระหนักว่า สิ่งที่เราชอบที่สุดคือการมารวมตัวกัน ไม่ใช่แค่ในการสร้างสรรค์และนำเสนอผลงาน แต่ยังรวมถึงตอนที่เราแบ่งปันเรื่องราวของตัวเอง กระบวนการคิดและการทำงานที่ใช้ ตลอดจนการทำงานเป็นแรงงานเบื้องหลังด้วยกัน พูดง่ายๆ ก็คือช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตอยู่นอกแกลเลอรีนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีวิสัยทัศน์ที่จะจัดงานในรูปแบบการแลกเปลี่ยนอย่างสร้างสรรค์และเปิดกว้างยิ่งขึ้นต่อไป โดยคำนึงถึงความเป็นมิตรและความเอาใจใส่เป็นหลัก และไม่ได้กำหนดผลลัพธ์เจาะจงที่คาดหวังจากนิทรรศการ เว้นแต่ในวันเปิดงานที่จะมีเป้าหมายแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ของโปรเจกต์ งานที่จัดขึ้นหลังจากนั้นมีหลากหลายรูปแบบ เราไม่ได้วาดภาพถึงโปรเจกต์ต่อๆ ไปเอาไว้แต่แรก แต่จะนำสิ่งที่เกิดขึ้นและประสบการณ์ที่ได้รับในแต่ละโปรเจกต์ไปต่อยอดในการวางแผนจัดโปรเจกต์ถัดไป
หลังจากนิทรรศการใน พ.ศ. 2542 ที่จัดขึ้นในสวนสราญรมย์ ที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 30 คน ด้วยความซับซ้อนในการจัดงาน การวางแผน และการขนส่ง รวมถึงการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร เราต่างเหนื่อยล้าและตัดสินใจที่จะปรับเปลี่ยนแผน เราเลือกที่จะออกไปจากเมืองใหญ่เพื่อมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ห่างไกลกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แทน แนวคิดนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้เราได้ใช้เวลาร่วมกันใน ‘งานเสวนา’ และลองดูผลลัพธ์ที่ได้จากงานนี้ ใน พ.ศ. 2544 เราได้จัดเวิร์กช็อปเป็นเวลา 10 วันที่ไร่บุญบันดาลโดยได้รับคำเชิญจากคุณปาน ภาระหอม ผู้เป็นหนึ่งในเจ้าของที่พักอาศัยอยู่ที่ไร่แห่งนี้ เราใช้ศาลาที่อยู่กลางไร่เป็นพื้นที่จัดงานให้ศิลปินในท้องถิ่น นักดนตรี นักเรียน นักศึกษา และคนจากชุมชนใกล้เคียงมาพบปะพูดคุยกัน เราไม่ได้ต้องการจะพามาดูศิลปินที่กำลังทำงานของตัวเอง แต่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในหลากหลายรูปแบบเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และแนวทางปฏิบัติ รวมถึงมุ่งเน้นให้กระบวนการสร้างผลงานศิลปะเข้าถึงผู้คน
สถานที่ต่อไป
นิตยากับฉันเป็นผู้จัดงานหลักมาตั้งแต่ต้น และตอนที่เธอตั้งครรภ์ลูกคนแรก เราก็ได้พูดคุยกันว่าจะเปิดรับโปรเจกต์ทางไปรษณีย์/อีเมลที่ฉันจะเป็นคนจัดการดูแลเป็นหลัก ฉันได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดีจากปรีณัน นานา และเราก็ได้ร่วมกันจัดทำผลงานสื่อสิ่งพิมพ์ Procreation/Postcreation ใน พ.ศ. 2546 จากโปรเจกต์ศิลปะที่ส่งเข้ามาทางไปรษณีย์และเครือข่ายศิลปินที่มีอยู่เดิม ทำให้การประกาศเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโปรเจกต์ Procreation/Postcreation เผยแพร่ออกไปในวงกว้างผ่านทางรายชื่ออีเมลของศิลปิน และผู้คนจากทั่วโลกเริ่มให้การตอบรับอย่างล้นหลาม โดยมีตั้งแต่จากมองโกเลียไปจนถึงหมู่เกาะเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์
ในปีเดียวกันนั้น เรายังได้รับข้อเสนอเงินทุนเพื่อจัดทำเว็บไซต์ของวูแมนิเฟสโต เราจึงได้เริ่มวางแผนโปรเจกต์บนเว็บไซต์อย่าง No Man’s Land สำหรับ พ.ศ. 2548/2549 แคทธรีน โอล์สทัน กับฉันร่วมกันจัดโปรเจกต์นี้ขึ้น โดยมีเคโกะ เซอิ เป็นที่ปรึกษา เราได้เชิญผู้เข้าร่วม 65 คนที่มีภูมิหลังที่หลากหลายจากพื้นที่หลายแห่งมาใช้พื้นที่บนโลกออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มหลักในการนำเสนอผลงานเกี่ยวกับเส้นแบ่งพรมแดนในจินตนาการ พลังของเส้นพรมแดนต่อการหลอมรวมและการแบ่งแยก ตลอดจนศักยภาพในการส่งเสริมทั้งสองด้านนี้
ฉันอยากจะกลับไปร่วมงานกับชุมชนที่ไร่และพูดคุยเรื่องราวที่ต่อเนื่องมาจาก พ.ศ. 2544 เราจึงได้จัดโปรเจกต์พำนักใน พ.ศ. 2551 ที่ไร่บุญบันดาลแห่งเดิมในจังหวัดศรีสะเกษทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยมีจุดมุ่งหมายชัดเจนว่าจะสำรวจความเชื่อมโยงระหว่างแนวทางการทำงานศิลปะแบบดั้งเดิมและแบบร่วมสมัย นิตยา, ภาพตะวัน (ที่เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมด้วย) และฉันเป็นผู้จัดงานนี้ คุณปาน ภาระหอม ที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ได้รับเชิญในฐานะศิลปินผู้เข้าร่วมโปรเจกต์ รวมถึงศิลปินอีก 4 ท่านที่เชื่อมโยงคนทั้ง 3 รุ่นเข้าด้วยกันได้มาพำนักอยู่ที่นี่เป็นเวลา 1 เดือน นอกเหนือจากการสร้างสรรค์ผลงานเดี่ยวและ/หรือผลงานร่วมกันแล้ว นักเรียนนักศึกษาจากโรงเรียนในพื้นที่ สถาบันเทคนิค และคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ยังได้รับเชิญให้มาร่วมเวิร์กช็อปที่ศิลปินจัดขึ้น เดิมทีวูแมนิเฟสโตมุ่งมั่นที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในหมู่ศิลปินหญิงในภูมิภาคและเพิ่มการรับรู้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป จุดมุ่งหมายนั้นก็ได้ครอบคลุมมากขึ้นไปถึงการจัดเวิร์กช็อปร่วมกับนักเรียนนักศึกษา โดยเน้นการศึกษาและการให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมถึงทักษะงานหัตถกรรม โปรเจกต์แปลกใหม่ที่ศิลปินจัดขึ้นกันเองไม่บ่อยครั้งนี้เกิดขึ้นและได้รับการต่อยอดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้พากลุ่มศิลปินนานาชาติมารวมตัวกันและจัดทำโปรเจกต์หลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เราทำงานได้อย่างสม่ำเสมอและสร้างความร่วมมือได้อย่างต่อเนื่อง เพราะอาศัยการยึดมั่นในแนวทางที่เน้นความยืดหยุ่น และตระหนักถึงความต้องการในด้านอื่นๆ ของชีวิตเรา ทั้งในฐานะศิลปินและผู้หญิง นอกจากการทำงานศิลปะของเราเองแล้ว เรายังวุ่นอยู่กับการดูแลบ้านและครอบครัว ทั้งคนใกล้ชิดและคนในครอบครัวใหญ่ นิตยาต้องรับผิดชอบในการเลี้ยงลูกๆ เพียงคนเดียวและเราทั้งคู่ต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ตัวลง หลังจากการไปพำนักที่ไร่ใน พ.ศ. 2551 เราจึงตัดสินใจหยุดพักและกลับมาทำงานเมื่อสถานการณ์เป็นใจ
ยึดมั่นในแนวทาง
ฉันมองว่าเรื่องราวหลังจากนั้นเป็นวูแมนิเฟสโตช่วงที่ 2 หลังจากที่เราหยุดพักไป 10 ปี ใน พ.ศ. 2560 เราได้เริ่มจัดทำคลังผลงาน จัดแสดงนิทรรศการ และจัดโปรเจกต์ใหม่ๆ
อีวอนน์ โลว์, แคลร์ วีล และโรเจอร์ เนลสัน ดูแลการจัดนิทรรศการ คลังผลงาน และการสร้างชุดผลงานของผู้หญิง และได้เชิญวูแมนิเฟสโตไปนำเสนอผลงานที่งานสัมมนา ‘Art, Digitality and Canon-making?’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ Gender in Southeast Asian Art Histories งานสัมมนาได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ Power Institute ในซิดนีย์ ร่วมกับสาขาวรรณคดี มนุษยศาสตร์ และสื่อ และคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ โดยได้จัดนิทรรศการแสดงสื่อในคลังผลงานของวูแมนิเฟสโต และผลงานต้นฉบับที่ภาควิชาการออกแบบนิเทศศิลป์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแกลเลอรี Cross Art Projects ในซิดนีย์ และเรายังได้เข้าร่วมงานสัมมนาในทั้งสองเมือง นิทรรศการถือเป็นครั้งแรกที่เราได้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมรูปภาพ วิดีโอ งานศิลปะ เอกสาร สื่อสิ่งพิมพ์ และของสะสมมากมายจากเหล่าศิลปินของวูแมนิเฟสโตที่จัดเก็บมาตลอด 3 ทศวรรษ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น จอห์น เทนเนอร์ หัวหน้าฝ่ายการวิจัยที่ Asia Art Archive ในฮ่องกงได้ติดต่อเรามาเพื่อขอแปลงคลังผลงานของวูแมนิเฟสโตให้เป็นรูปแบบดิจิทัล และเรายังเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากงานสัมมนาและนิทรรศการในกรุงเทพฯ และซิดนีย์ สิ่งเหล่านี้ได้กลายมาเป็นแรงผลักดันให้เราเริ่มแปลงผลงานให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่คลังข้อมูลวิจัยของ Asia Art Archive5
ในขณะเดียวกัน เราก็ได้เริ่มวางแผนจัดโปรเจกต์ครั้งถัดไป ซึ่งแต่เดิมตั้งเป้าว่าจะจัดขึ้นใน พ.ศ. 2562 แต่เนื่องจากเกิดโรคระบาดที่ส่งผลกระทบทั่วโลก เราจึงต้องกลับมาทบทวนและปรับเปลี่ยนแนวคิดเดิมของเราที่เคยคิดว่าจะมาพบปะกันในสถานที่หนึ่ง เราเผชิญกับสถานการณ์จริงที่ไม่รู้ว่าจะคลี่คลายไปอย่างไร จึงตัดสินใจที่จะขยายขอบเขตงาน โดยเชิญผู้เข้าร่วมจากโปรเจกต์ก่อนๆ ให้จัดงานพบปะในพื้นที่ของตัวเองแทน เราขอให้พวกเขาติดต่อศิลปินที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงแล้วกำหนดจุดนัดพบกัน ซึ่งเป็นพื้นที่จริงที่เปิดให้ได้มาประชุมพบหน้ากันโดยไม่ละเมิดแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัย ท่ามกลางการล็อกดาวน์ Womanifesto 2020: Gatherings จึงเปิดพื้นที่พูดคุยให้กับกลุ่มต่างๆ ที่เข้าร่วมจากอุดรธานี (ไทย), วโฑทรา (อินเดีย), เบอร์ลิน (เยอรมนี), ซิดนีย์ (ออสเตรเลีย), บาเซิล (สวิตเซอร์แลนด์) และลอนดอน (สหราชอาณาจักร) ผู้นำการประชุมในแต่ละพื้นที่ได้เชิญชวนเพื่อนฝูงและเพื่อนร่วมงานมาพูดคุยในประเด็นของตัวเอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่ประสบในขณะนั้น และการพิจารณาถึงแนวทางการพบปะกันที่เป็นไปได้ในบริบทความไม่แน่นอนตอนนั้น งานที่จัดขึ้นในประเทศได้เชื่อมโยงกับเครือข่ายจากนานาประเทศผ่านบล็อกที่สร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงาน6 เราตั้งคำถามชวนคิดร่วมกันว่า เราจะนิยาม ‘การอยู่ด้วยกัน’ ว่าอย่างไร แล้วเราจะสร้างและรักษาการสนับสนุน ความใกล้ชิด และความรู้สึกผูกพันข้ามพรมแดนทางวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์อย่างไรในโลกหลังการระบาดของโรคครั้งใหญ่ และตอนนี้เราผ่านพ้นการระบาดครั้งใหญ่มาแล้วหรือยัง
LASUEMO
เมื่อได้พิจารณาคำถามเหล่านั้น เลน่า อีริคสัน, *เดอร์บัน และฉันก็ได้จัดตั้ง LASUEMO เป็นพื้นที่พบปะทางออนไลน์สำหรับการรวมตัวกันในอินเทอร์เน็ตในวันอาทิตย์สุดท้ายของทุกเดือน (LAst SUnday Every MOnth) โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นชุมชนการรวมตัวกันอย่างไม่เป็นทางการที่เกิดจากมิตรภาพและการแบ่งปัน เราเชื่อมโยงคนที่อยู่ห่างไกลให้ได้มาติดต่อกัน โดยเฉพาะกับหลายๆ คนที่ยังคงต้องกักตัวแม้จะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์แล้ว (ในตอนที่การพูดคุยกันทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Zoom หรือ Jitsi ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก) เรามองว่าการรักษาบทสนทนาให้ต่อเนื่องนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เราเปิด Digital Courtyard ในบล็อกเพื่อมาร่วมกันหาวิธีพบปะกัน และกำหนดชุดหัวข้อที่น่าสนใจจากความเห็นของทุกคน ซึ่งช่วยให้ศิลปินได้มาพูดคุยกันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่และทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน แรกเริ่มเดิมทีนั้นเรารวบรวมคนมาจากกลุ่มศิลปินที่เคยเข้าร่วมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับวูแมนิเฟสโต และหลังจากนั้นไม่นานเราก็เริ่มเชิญคนใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับกลุ่มของเราเพื่อขยายวงสนทนาออกไป เราจัดการพูดคุยแต่ละช่วงโดยเริ่มจากการพูดคุยถึงสภาพอากาศในพื้นที่ของแต่ละคน7 จากนั้นเราก็จะเปิดโอกาสให้นำเสนอไอเดีย แนะนำแนวคิดการทำงานร่วมกัน พูดคุยเกี่ยวกับผลงานใหม่ที่กำลังทำ และบางครั้งก็จัดกิจกรรมให้ทำร่วมกันทางออนไลน์
งานพบปะ LASUEMO ครั้งหนึ่งที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 (เนื่องจากไม่สามารถจัดในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนเมษายนได้ จึงปรับเปลี่ยนวัน) เราพูดคุยกันในประเด็นการเย็บซ่อม การซ่อมแซม และการปะ ในยุคปัจจุบัน ชีวิตที่ถักทอร้อยเรียงเป็นดั่งผืนผ้านั้นดูจะเปราะบางเหลือเกิน จึงจำเป็นต้องมีการเย็บซ่อมแซมเพื่อผสานสายใยแห่งความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนและสภาพแวดล้อมรอบตัวเราทั้งหมดอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้จัดพื้นที่ WeMend ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนที่เปิดให้ผู้คนมาเย็บปะผ้าโดยเฉพาะในนิทรรศการ Womanifesto: Flowing Connections ที่หอศิลปกรุงเทพฯ โดยเราได้เชิญและสนับสนุนให้นักเรียนนักศึกษาและบุคคลทั่วไปที่เข้าชมได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเย็บผ้า / ประยุกต์วัสดุเหลือใช้ / ปักลายร่วมกัน และในเวิร์กช็อปที่เจาะจงประเด็นต่างๆ ปรีณัน นานา เป็นหนึ่งในสมาชิกทีมจัดงานนิทรรศการที่หอศิลป์กรุงเทพฯ เธอเป็นคนริเริ่มตั้งชื่อ ‘WeMend’ ซึ่งเป็นการเล่นคำจาก ‘Women’ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากกิจกรรมการเย็บผ้าใน LASUEMO และนำมาเชื่อมโยงกับการส่งเสริมการเชื่อมสัมพันธ์โดยวูแมนิเฟสโตในมุมมองของตัวเอง
แทนที่จะจัดโปรเจกต์ทุก 2 ปีอย่างที่เราเคยทำในช่วงแรกตั้งแต่ พ.ศ. 1995 ปัจจุบันเราได้เปลี่ยนมาจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบโดยไม่ต้องประกาศล่วงหน้านาน กิจกรรมที่จัดมีความยืดหยุ่นและเป็นไปอย่างเรียบง่ายเพื่อสะท้อนถึงความเปิดกว้างและความลื่นไหลของวูแมนิเฟสโต
หากจะพูดถึงกระแสการจัดนิทรรศการศิลปะ อรรฆย์ ฟองสมุทร อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และภัณฑารักษ์ ได้ให้ความเห็น (ที่ยังเป็นความเห็นต่อเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในไทย รวมถึงสถานการณ์ปั่นป่วนหลังจากการรัฐประหารของกองทัพใน พ.ศ. 2549) ว่างาน ‘Bangkok Biennial 01’ เป็นเพียงเรื่องตลก การสนับสนุนจากองค์กรของอรรฆย์มีส่วนช่วยสำคัญที่ทำให้เราได้จัดนิทรรศการวูแมนิเฟสโต ครั้งแรกใน พ.ศ. 2540 ในงาน ‘Bangkok Biennial 01’ เขาขอให้ศิลปินลงชื่องานในประวัติย่อของตัวเองตามความสมัครใจ และยังพิมพ์ลายโลโก้งานเบียนนาเล่ลงบนเสื้อยืดด้านหนึ่ง และคำว่า ‘คุณพลาดแล้ว’ ลงบนเสื้ออีกด้าน ซึ่งเป็นประโยคเดียวกันกับแนวคิดหลักของงานพอดี ใน พ.ศ. 2561 นั้นมีการจัดงานเบียนนาเล่ถึง 3 งานในไทย ได้แก่ Bangkok Art Biennale, Bangkok Biennial ซึ่งเป็นงานจัดแสดงแบบสุ่มอิสระที่เปิดตัวว่าเป็น ‘งานเบียนนาเล่ที่จัดขึ้นในไทยครั้งแรก’ และ Thailand Art Biennale ที่บอกว่าเป็น ‘งานเบียนนาเล่ที่แรกในไทย: Edge of the Wonderland’ และจัดขึ้นโดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยของรัฐบาลไทย มีหลายงานที่อ้างว่าเป็น ‘ที่แรก’ ซึ่งอาจจะเป็นความพยายามที่จะช่วงชิงความเป็นที่หนึ่งในประวัติศาสตร์ ฉันจำได้ว่าเคยอ่านข้อมูลเกี่ยวกับงานเบียนนาเล่ครั้งแรกในเบอร์ลินเมื่อตอน พ.ศ. 2541 และยังติดอยู่ในใจ อาจเป็นเพราะว่าตอนนั้นฉันยังไม่เคยไปงานเบียนนาเล่มาก่อน และอาจเป็นเพราะฉันเพิ่งไปเทศกาลดนตรีแจ๊สมา มาร์ติน เกย์ฟอร์ด เขียนรีวิวงานเบียนนาเล่ที่มาในชื่อ ‘Berlin Berlin’ ไว้ใน The Spectator ว่า ‘ต้องกล่าวว่าเนื้อหาของงานเบียนนาเล่ครั้งนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรมากมายจากงานเบียนนาเล่อื่นๆ ที่จัดกันมากขึ้นเรื่อยๆ (ในสมัยก่อน เมืองที่ต้องการสร้างประวัติให้ตัวเองจะจัดเทศกาลงานแสดงสวน ต่อมาก็เป็นเทศกาลดนตรีแจ๊ส ส่วนตอนนี้ก็เป็นงานเบียนนาเล่)’8
ความสัมพันธ์ต่อเนื่อง
เราไม่เคยคิดจะเรียกวูแมนิเฟสโตว่าเป็นงานเบียนนาเล่ ฉันตระหนักถึงเรื่องนี้ตอนได้ให้สัมภาษณ์กับ AAA ใน พ.ศ. 2552 ฉันถูกถามว่าคิดเห็นอย่างไรกับงานเบียนนาเล่ที่มีการจัดกันมากขึ้น และประเทศไทยจะได้จัดงานเบียนนาเล่บ้างหรือไม่ ฉันตอบไปว่า งานเบียนนาเล่ในไทยจัดมาตั้งแต่ พ.ศ. 2540 แล้วในชื่อ ‘Womanifesto’ ฉันว่าคนไม่น่าจะรู้จักกัน งานจัดขึ้นในประเทศเพื่อดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก ในฐานะโปรเจกต์อิสระที่ริเริ่มโดยศิลปินที่ทำงานด้วยความมุ่งมั่นเต็มที่และเงินทุนเท่าที่จำเป็น และบางครั้งก็มีเงินทุนจำกัดอย่างมาก งานแบบนี้เกิดขึ้นก่อน ‘กระแสเบียนนาเล่’ มานานแล้ว9
แม้ว่าเราจะต้องเผชิญกับปัญหาส่วนตัวและในแง่ของทรัพยากร แต่เพื่อนคนหนึ่งก็บอกกับเราเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากได้เห็นทิศทางความเป็นไปของวูแมนิเฟสโตตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า ‘วูแมนิเฟสโตยังคงเข้าถึงกลุ่มผู้ชมในวงกว้าง และเป็นที่พูดถึงในประเด็นพูดคุยในปัจจุบันเกี่ยวกับชุมชนและการแสดงออกทางศิลปะอยู่เสมอ’ จนถึงทุกวันนี้วูแมนิเฟสโตรูปแบบต่างๆ เริ่มต้นมาได้เกือบ 3 ทศวรรษแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่จะมีกระแสการจัดงานเบียนนาเล่ในไทยและในภูมิภาค และได้ขยับขยายไปไกลกว่าแค่ในภูมิภาค โดยจัดเวิร์กช็อปสหสาขาวิชาที่รวมตัวคนหลากหลายยุคสมัย พื้นที่สาธารณะสำหรับแลกเปลี่ยน และสร้างพื้นที่มุมหนึ่งในสังคมที่ยังคงยึดถือแนวคิดปิตาธิปไตยกันเป็นส่วนใหญ่
1 งานสัมมนา In Light of Crisis: The Fraught Significations of Contemporary Biennials จัดขึ้นเมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ที่มหาวิทยาลัยซูริก www.khist.uzh.ch/de/chairs/moderne/events/Symposium-In-Light-of-Crisis.-The-Fraught-Significations-of-Contemporary-Biannials.html
2 อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการได้ในบทความ ‘TradiSEXion’ โดยจันทวิภา อภิสุข และจุมพล อภิสุข ซึ่งเผยแพร่ไว้ในที่นี้ด้วย
3 ดูรายการผลงาน Tradisexion ได้ที่ www.aaa.org.hk/en/collections/search/archive/womanifesto-archive-catalogues/object/tradisexion-the-work-of-art-sexuality-and-tradition-tradisexion อ่านคำแปลผลงานบางส่วนจากรายการผลงาน Tradisextion ได้ที่ Southeast of Now: Directions in Contemporary and Modern Art in Asia 3, no. 1 (March 2019): www.muse.jhu.edu/issue/40144 ดูบททบทวนประวัติศาสตร์นี้ได้ที่ ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ “Before Womanifesto, In My Recollection” Southeast of Now: Directions in Contemporary and Modern Art in Asia 3, no. 1 (March 2019): 175-180. doi:10.1353/sen.2019.0009.
4 ซีโมน เดอ โบวัวร์ The Second Sex. Book II
5 www.aaa.org.hk/en/collections/search/archive/womanifesto-archive
6 Womanifesto 2020: Gatherings, ดูข้อมูลที่ www.blog.womanifesto.com/about
7 Let’s talk about the weather – the weather as a collective condition, โปรเจกต์ล่าสุดโดยเลน่า อีริคสัน และวาร์ช่า นายร์ และผู้เข้าร่วมใน LASUEMO สำหรับนิทรรศการศิลปะออนไลน์ Ctrl+P Biennale ที่จะจัดขึ้นโดยจูดี้ เฟรย่า ซีบายัน www.weather-here.cloud
8 Berlin: a city under wraps. มาร์ติน เกย์ฟอร์ด The Spectator
www.archive.spectator.co.uk/article/10th-october-1998/49/fine-arts-special
9บทสัมภาษณ์ของวาร์ช่า นายร์ www.aaa.org.hk/en/ideas-journal/ideas-journal/interview-with-varsha-nair/type/conversations
Related pages
Share a Reflection
log in to share a reflection.
