Busy Invisible: A Voiceover

By Phaptawan Suwannakudt 

Please note that this publication is currently under review and will be subject to changes.

This text was first published in Womanifesto: Flowing Connections, Nitaya Ueareeworakul et al. (eds), exhibition catalogue, Bangkok Art and Culture Centre, Bangkok, 2023, pp. 48–51. 


คุณเชื่อเรื่องโชคไหม หญิงสาวกล่าวพร้อมกับยื่นหินกรวดเรียบขาวใสใส่ในกำมือของฉัน ถ้าเชื่อก็ลองภาวนาดู เธอจะผ่านการสอบนี้ไปได้ด้วยดี 

ครูสอนขับรถยนต์บอกฉันก่อนเริ่มสอบทำใบอนุญาตขับขี่ของรัฐนิวเซาท์เวลส์ แม้จะมีใบขับขี่ถาวรของไทยแล้ว แต่ฉันอยากฝึกใช้ถนนบนพื้นที่จริงให้มั่นใจก่อนสอบ โดยเฉพาะสภาพการจราจรกับการอ่านภาษาท่าทางให้สัญญาณของผู้ขับขี่ที่ใช้ถนนร่วมกัน 

ระหว่างทางครูสังเกตเห็นแถบผ้าเวลโครแปลกๆ ที่ฉันสวมรัดไว้กับข้อมือทั้งสองข้างที่กำลังหมุนพวงมาลัยอยู่

ฉันซื้อมาจากร้านขายยา เป็นสายกดจุดข้อมือเพื่อช่วยระงับอาการคลื่นไส้แพ้ท้อง สามเดือนแรกจะเป็นช่วงแพ้น่ะ ฉันตอบครูเมื่อเธอถาม 

พยายามอย่าเป็นอะไรในรถคันนี้ละกัน คำพูดเล่นติดตลกของเธอสลายความเครียดได้ เราต่างหัวเราะให้กันและกัน แล้วเธอก็พูดต่อด้วยเสียงเรียบๆ แม่ของฉันขับรถไม่เป็น พ่อของฉันไม่ยอมให้แม่ขับรถ เราต่างหยุดหัวเราะ 

ฉันไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงเลือกที่จะเป็นครูสอนขับรถ

ฉันสอบผ่านได้ใบขับขี่ในวันนั้น คงไม่ใช่ด้วยมนต์ของหินกรวดก้อนนั้นที่ไม่ได้ใส่ใจภาวนา หากเป็นการตั้งมั่นพยายามสอบให้ผ่านแม้จะมีอาการแพ้ท้องคลื่นไส้ตลอดเส้นทาง ฉันตั้งใจทำเพื่อครูสอนขับรถ เพื่อแม่ของเธอ เพื่อลูกในท้องของฉัน (ลูกสาว) และเพื่อตัวฉันเอง

ทุกสังคมต่างมีเงื่อนไขทางวัฒนธรรมต่างกันไป เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานและกำลังเรียนรู้ทำความเข้าใจกับการสื่อสารของวัฒนธรรมที่ฉันกำลังจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในนั้น แม้แต่ท่าทีการให้สัญญาณระหว่างขับรถแต่ละสังคมยังมีความต่าง เรากำลังจะย่างเข้าศตวรรษที่ 21 แต่ฉันนึกไม่ถึงว่าหญิงสาวผมสีทองตาสีฟ้าที่สอนขับรถให้ฉัน จะมีแม่ที่ถูกพ่อปิดกั้นไม่ให้ขับรถยนต์ 

ปีก่อนหน้านั้นฉันร่วมงานแสดงนิทรรศการ ประเพณี ประเวณี ที่บ้านตึก และเริ่มคิดหาหนทางไปต่อร่วมกับนิตยา และมิ้งค์ นพรัตน์ โดยมีคุณรัชดา ธนาพร เป็นที่ปรึกษาเพื่อที่จะจัดการนิทรรศการครั้งต่อไปให้ได้ แต่ก็ไปได้เพียงครึ่งทาง ไม่สามารถสานฝันให้ไปต่อได้ ฉันจากลาทิ้งภาระที่ยังคั่งค้างมองไม่เห็นหนทางไว้เบื้องหลัง แม้จุดหมายยังมีอยู่แน่วแน่มั่นคง ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ฉันเดินออกมาจากอาชีพจิตรกรเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในขณะที่เส้นทางกำลังรุ่งโรจน์ และอนาคตการสานฝันและจินตนาการกำลังก่อตัว ฉันให้เหตุผลกับพี่น้องเพื่อนฝูงด้วยคำอธิบายสั้นๆ แบบตัดบทว่า ย้ายไปมีครอบครัว ไม่เอื้อนเอ่ยขยายเรื่องราวเบื้องหลังอันซับซ้อนของฉันที่ไม่สำคัญกับใคร แต่มีสาระสำคัญต่อชีวิตและความหมายต่อตัวตนของฉันอย่างมาก 

ปีถัดจากที่ฉันย้ายไป นิทรรศการวูแมนิเฟสโตครั้งแรกก็เปิดตัว ฉันรู้สึกอุ่นใจและภูมิใจแทนนิตยาและวาร์ช่า ปลาบปลื้มในผลงานของเขาทั้งสอง ที่มุ่งมั่นแผ้วถางทางทำให้มันเกิดเป็นจริงขึ้นมาได้ สร้างแนวร่วมและจับประเด็นไปต่อในเส้นทางที่ไม่มีใครปูไว้ให้ได้อย่างสวยงาม ไม่ต้องมีบทพิสูจน์อะไรอีกนอกจากสิ่งที่เกิดขึ้นในนิทรรศการความล่องไหล การจัดการของเขาที่ร่วมใจคิดและร้อยเรียงส่วนต่างๆ ให้เป็นรูปร่างออกมาจากมือของเขาทั้งสองมันชัดเจนยิ่งนัก ขณะที่วาร์ช่าสำรวจรายละเอียดที่จำภาพได้เหมือนกับทุกอย่างยังดำเนินอยู่ ณ ปัจจุบัน โดยมีนิตยาเป็นนักจัดการที่ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน นิตยาที่มีธรรมชาติของเพศแม่ มีความเมตตาด้วยโอบกอดของไมตรีจิตและไม่ตัดสินใคร จะมีใครที่ทำงานได้เข้าคู่กันเหมือนเขาทั้งสองได้อีก

นิตยาและวาร์ช่าคือฮีโร่ของฉัน เขาเป็นต้นทุนแห่งความหวัง เขาเป็นที่พึ่งพิงทางใจที่ให้ฉันเดินทางทำงานศิลป์อย่างต่อเนื่องในดินแดนแปลกหน้าที่ต้องย้อนไปเริ่มต้นนับใหม่จากศูนย์ วันแรกที่ฉันไปถึงก็เห็นขาหยั่งตั้งเขียนภาพที่จอห์นผู้ที่จะเป็นสามีของฉัน วางตั้งรอไว้อยู่แล้วในห้องรับแขก ฉันเปิดกระเป๋าจัดอุปกรณ์สีพู่กันและเริ่มต้นเขียนงานชุดนารีผลจากวันนั้น มันเป็นประเด็นต่อยอดจากแรงบันดาลใจที่ได้จากพี่น้อยเพื่อนมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ และเพื่อนศิลปินหญิงในงาน นิทรรศการ ประเพณี ประเวณี ฉันส่งงานชุดนี้ไปแสดงในงานนิทรรศการครั้งแรกของวูแมนิเฟสโต

การเกิดของวูแมนิเฟสโตไม่ใช่เรื่องบังเอิญ สำหรับฉันมันเป็นการดับกระหายในพื้นที่ ที่เคยไม่มีมาก่อน เกิดจากจุดที่ไม่มีเพื่อนร่วมเป้าหมายแห่งอิสระในการบอกตัวตนในฐานะเพศหญิง วูแมนิเฟสโตคือกลุ่มเพื่อนที่ต้องการเสนอบทบาทและแสดงตัวตนจากเสียงเฉพาะตัวของศิลปินหญิงที่มีความรู้สึกอันไม่สนิทกับรูปแบบที่เคยทำกัน ที่มีแนวทางจัดการพื้นฐานจากแนวคิดผู้ชายเป็นใหญ่ ที่แตกต่างจากนั้นไปอีกคือวูแมนิเฟสโตไม่เคยชูธงแนวความคิดครอบงำ หากแต่ปล่อยอิสระให้ธรรมชาติสามัญของมนุษย์ที่เป็นอยู่ได้ขับเคลื่อนพาไป 

สำหรับฉันเองการเดินทางเส้นนี้มาไกลจากพื้นที่ในบริบทของศิลปะที่มีมา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่ถูกนับรวม การไม่ได้ศึกษาศิลปะที่เป็นรูปแบบ ไม่สามารถวางตัวลงรอยได้ชัดเจนกับบริบททางทฤษฎีศิลป์ที่มีรูปรอยวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์สมัยนั้นที่นำไปสู่การไม่มีช่องทางพื้นฐานของการประกวดงาน ฉันเป็นจิตรกรเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์วัดเข้าข่ายสกุลช่างแนวประเพณี ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำตามรอยของประเพณีการสืบสกุลช่าง และที่แยกฉันให้ออกห่างพื้นที่นี้ไปอีกคือฉันเป็นผู้หญิง ถึงแม้จะเป็นหัวหน้านำกลุ่ม เป็นทั้งผู้สร้างผู้ผลิตงานและผลิตช่างรุ่นใหม่ไปด้วยก็ตาม แต่มันไม่เคยมีในประวัติการเขียนภาพตามวัดมาก่อนที่ผู้หญิงอยู่ในบทบาทนี้  นอกจากโบสถ์จิตรกรรมฝาผนังประดับโรงแรม ฉันได้ร่วมแสดงนิทรรศการศิลป์โดยการเหมามัดรวมกันด้วยบทบาทแห่งความเป็นหญิง บริจาคงานร่วมนิทรรศการศิลปินหญิงเพื่อหารายได้สมทบทุนช่วยบ้านพักฉุกเฉิน และมูลนิธิเพื่อนหญิง ที่ฉันร่วมแสดงด้วยอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายปีก่อนย้ายมาอยู่ที่ซิดนีย์

ปีแรกที่อยู่ที่ออสเตรเลียฉันได้รู้จักแกลเลอรี aGOG (australian Girls’ Own Gallery) ที่ก่อตั้งโดยผู้หญิง แม้จะมีแกลเลอรีที่ให้เห็นอยู่มากมาย แต่ศิลปินในสังกัดสัญญาแกลเลอรีเหล่านั้นเป็นศิลปินหญิงจำนวนแค่สิบเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับศิลปินชาย แกลเลอรีนี้ปิดตัวลงไปในที่สุดเมื่อจำนวนตัวเลขศิลปินหญิงเพิ่มขึ้นมาเสมอกัน แต่ทุกอย่างมันสรุปง่ายดายเพียงเพราะสมการตัวเลขและสถิติ เมื่อมาตรวัดกำหนดด้วยลัทธิตัวตนเป็นใหญ่ก็จะขีดให้สิ่งที่ไม่ใช่ไปอยู่อีกฝั่ง ทั้งหญิง/ชาย สูง/ต่ำ ดำ/ขาว ฝรั่ง/ไทย นอก/ใน ออก/ตก งานนิทรรศการกลุ่มที่มีฉันร่วมแสดงช่วงแรกมีชื่องานที่แสดงนัยของความเป็นอื่น ในช่องถ่างของภาวะการก้าวไม่จากกับยังไปไม่ถึงเช่น Edge of Elsewhere; Second Language; Heading North; Threshold; Crossing Boundaries หรือ หรือเราอนุญาตพื้นที่ของรูปธรรมทางเพศหรือความแตกต่างได้แค่คู่ตรงข้าม โดยละเลยวิถีสังคมที่เป็นอยู่และแนวความคิดชั่งตวงวัดเชิงลึกในบริบทวัฒนธรรมว่าไม่มีส่วน

เมื่อหันไปดูเว็บไซต์ในวงการศิลปะในออสเตรเลีย เราจะเห็นบริบทเชิงลึกทางการตลาดที่บอกความไม่เป็นธรรมที่มาจากผลของการนับรวม (หรือไม่) เดอะเคานต์เตส thecountessreport.com.au คือเว็บไซต์ที่ตั้งชื่อโดยใช้คำที่มีนัยของชนชั้นบรรดาศักดิ์กับตัวเลขในตลาดศิลปะไปพร้อมกัน ในตัวเคานต์เตสยังแสดงเพศว่าเป็นหญิงเหมือนเป็นการเสียดสีโดยที โครงการนี้ก่อตั้งโดยผู้หญิงที่เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นเอลวิส โดยเริ่มนับตัวเลขแยกประเพศเป็นศิลปินหญิงชายจากปี 2008 เป็นต้นมา รวมถึงตัวเลขทางการศึกษาของผลรางวัล จำนวนศิลปินที่แสดงงานระดับนานาชาติ  ศิลปินที่ได้รับคัดเลือกให้แสดงนิทรรศการในมิวเซียม รางวัลงานประกวดศิลปะใหญ่ๆ รวมไปถึงยอดตัวเลขงานสะสมในคอลเลกชั่นของมิวเซียม และทุกอย่างที่ระบุเป็นช่องทางและโอกาสในการเข้าถึงรายได้ของศิลปิน ผลการนับตัวเลขที่นับถึงปี 2014 ออกมาว่าจำนวนของศิลปินหญิงนับได้น้อยกว่าในทุกด้านยกเว้นจำนวนนักศึกษาหญิง-ชายที่ไม่ต่างกันมาก แต่เมื่อยิ่งสาวเข้าไปใกล้ช่องทางนำไปสู่รายได้และผลประโยชน์เท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นจำนวนศิลปินผู้ชายไปกระจุกกันตรงนั้นมากขึ้นเท่านั้น ปีนั้นผู้อำนวยการของมิวเซียมประจำรัฐทุกรัฐทั้งหมดเป็นผู้ชาย ฉันทักทายเมื่อเจอเอลวิสโดยบังเอิญที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติออสเตรเลีย เมืองแคนเบอร์รา ในงานนิทรรศการที่ประกาศตัวว่าเป็นการรวมงานของศิลปินหญิงครั้งยิ่งใหญ่ที่ชูธงเรื่องความเท่าเทียมทางเพศของผู้หญิงโดยอ้างอิงถึงเว็บไซต์เคานต์เตสเป็นแรงบันดาลใจโดยใช้ชื่อว่า โนว์มายเนม ตรงความหมายว่า จงรู้จักชื่อฉัน กระนั้นก็ยังมีศิลปินหญิงหลายคนที่ตกสำรวจ แม้แต่เอลวิสเองก็รู้สึกว่ายังไปไม่ถึงไหน ในกรณีของฉันแม้จะย้ายมาออสเตรเลียตั้ง 26 กว่าปีมาแล้ว ชื่อของฉันก็ยังแปลกแตกต่างไม่สามารถคัดให้อยู่ฝั่งไหนของการนับหมวดหมู่ได้ 

เรามักจะไม่เฉลียวใจสอบถามตั้งปัญหากับสภาพที่เราเป็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่ามันคือสิ่งผิดปกติ ในโลกปัจจุบันผู้หญิงส่วนใหญ่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง จึงไม่ค่อยได้ยินคำถาม ”ทำไม” กับความจริงที่ว่าผู้หญิงได้สิทธิ์นี้ทีหลังผู้ชาย สตรีไม่ถูกนับรวม (ระบบการศึกษา, การบวชเป็นพระของบางประเทศ) อีกฟากหนึ่ง (ปัญหากฎหมายและการเข้าถึงแหล่งรายได้) ผู้หญิงห้ามขึ้น (ป้ายในวัดบางแห่ง) เหล่านี้คือคำถามที่มีคำตอบแตกต่างกันขึ้นอยู่กับใครตั้งคำถาม ใครเป็นผู้ตอบ และใครที่ให้ความสำคัญ แม้จะไม่มีคำถามใดง่ายหรือยากเกินอธิบาย แต่ส่วนใหญ่คำตอบมักจะถูกกลบเกลื่อนต่อสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นต้องหาเหตุผลให้ เราต้องไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งผู้หญิงไม่อยู่ในการนับรวมของการกำหนดกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกัน และจำนวนชาวพื้นเมืองออสเตรเลียได้รับการนับรวมอยู่ในสถิติแห่งชาตินับร้อยปีหลังจากที่มีการนับจำนวนแกะซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจของประเทศเสียอีก ฉันคุยกับศิลปินร่วมสมัยร่วมยุควัยเดียวกัน มองเห็นแง่คิดทัศนะที่สะท้อนมุมมองที่มาจากก้อนรวมหลอมสำเร็จมาจากเบ้าใดเบ้าหนึ่ง แต่มักไม่นับรวมบริบทของสิ่งอื่นที่ไม่เข้ากับเบ้านั้น เหมือนมีโลกคู่ขนาน เมื่อมันไม่เกิดขึ้นกับตนเองจึงไม่ทันฉุกคิดถึงสถานการณ์

ฉันมาจากโลกและยุคที่เพื่อนจำนวนหนึ่งไม่ได้เรียนต่อในระบบการศึกษาและ 70 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนนั้นเป็นผู้หญิง เพื่อนร่วมชั้นที่เป็นหญิงจะลาออกไปตั้งแต่ครึ่งแรกของระดับการศึกษาเบื้องต้น โดยไม่ต้องแม้แต่จะผ่านกระบวนการสอบแข่งขันเสียอีก เคยมีคำถามจากนักศึกษาในชั้นเรียนที่ฉันไปบรรยายว่า เรียนศิลปะเอาไปทำอาชีพได้ไหม ฉันอยู่กับความคิดนี้มาทั้งชีวิตว่ามันไม่มีพื้นที่ของคำตอบให้กับคำถามนี้เลย ฉันตอบได้แค่ว่า ที่ถูกควรถามว่าศิลปะจำเป็นกับชีวิตคุณไหม ถ้าตอบว่าไม่น่าจะจำเป็นก็มีคำตอบสำเร็จให้ได้เลยว่า คุณเลือกเรียนผิดสายวิชาชีพแล้ว คำแนะนำสำเร็จรูปของศิลปินหญิงที่ประสบความสำเร็จในวิชาชีพแล้วคือ เราต้องสร้างงานให้ดี (จากเกณฑ์กำหนดของใคร) อาจจะไม่ใช่คำตอบที่พาเราไปถึงไหนได้ 

คำถามนี้ไม่เคยเกิดกับฉันมาตั้งแต่เริ่มต้น จินตนาการคืออิสระไม่มีปราการเพศ วัย และชาติพันธุ ์วรรณา มันอยู่นอกระบอบระเบียบทั้งหลายและอยู่เหนือการปกครองครอบงำสั่งสอนทั้งปวง ศิลปะมีพื้นที่ให้จินตนาการ ฉันเข้านอนไปพร้อมภาพในหัวและตื่นมากับแผนการที่จะสร้างงานต่อ จินตนาการปลูกสุนทรียภาพและสร้างภวปัญญาทางอารมณ์ เกิดประจักษ์ในสาระของความเป็นมนุษย์ ฉันจึงรู้สึกกระวนกระวายเมื่อไม่ได้อยู่กับงาน และวนเวียนหาหนทางที่จะใช้เวลาอยู่กับพื้นที่นี้ตลอดเวลา แต่ความจริงที่ฉันประสบคือ ฉันต้องทำงานหนักกว่าผู้ชายสองเท่าเพียงเพื่อไปถึงการยอมรับที่เท่ากัน ฉันไม่จำเป็นต้องอยู่ฝั่งด้านที่เว้าแหว่งกว่าถึงจะมองเห็นและรู้สึกถึงความด้อยโอกาส เรื่องการเข้าถึงพื้นที่ และเมื่อใดที่ใครก็ตามที่รู้สึกว่าได้รับโอกาส วินาทีนั้นต่างหากที่เขาควรตระหนักเห็นแนวเขตแบ่งพื้นที่ของพวกที่ตกสำรวจการนับรวมว่ามีผู้ด้อยโอกาส เพียงแค่ตกอยู่ในกลุ่มที่ไร้การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและแหล่งช่องทางรายได้ จะสรุปตีค่าว่าความสามารถด้อยกว่าได้หรือ 

การที่ฉันในฐานะผู้หญิงคนแรกๆ ที่ได้เป็นหัวหน้ากลุ่มช่างเขียนออกแบบและสร้างงานจิตรกรรมฝาผนังตามวัด และน้องสาว (กาพย์แก้ว) ที่ยังคงทำงานอยู่ต่อเนื่องได้นั้น ไม่ใช่เรืองที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาเฉยๆ แต่มันเป็นกรณีศึกษา พ่อของฉันเป็นนักสตรีนิยมและนักเคลื่อนไหวเพื่อความเปลี่ยนแปลง เขาเป็นศิลปินก่อนเป็นศิลปิน มีแม่นักทอผ้าไหมและนักเล่าเรื่อง น้านักกลอนกวี และลุงนักปราชญ์ พ่อของเขา คุณปู่ของฉันเป็นช่างเดินลวดลายทองที่เสียชีวิตเมื่ออายุ 38 ย่าเป็นผู้หญิงวิถีพุทธแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกหก สี่คนที่เกิดกับปู่ของฉันกับอีกสองคนเกิดจากสามีคนแรก จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พ่อของฉันจะเป็นนักสตรีนิยม เขาไม่ตัดสินการกระทำของผู้หญิง เขาเข้าใจสถานการณ์ความเป็นผู้หญิง แต่เขาก็ยังไม่สามารถช่วยให้แม่ของฉันออกจากวังวนความคิดที่ว่าผู้หญิงต้องอยู่ในความดูแลคุ้มครองของผู้ชาย

ฉันไม่ต้องเกิดก่อนกาลหรือไม่ได้รู้สึกโตก่อนวัย ฉันใช้ชีวิตในวัยก่อนสิบขวบในวัด เติบโตในชายคาวัดเมื่อพ่อพาลูกๆ มาอาศัยในวัดให้มีอาหารกินอิ่ม และเพื่อผ่อนภาระในการเลี้ยงดูไม่ให้ตกเป็นของแม่แต่ผู้เดียว การเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวในวัดทำให้ฉันเติบโตมากับคำถามมากมาย ทำไมฉันถึงไม่ได้เดินทางตามพระไปรับบาตร ขณะที่น้องชายของฉันทั้งสองคนได้สิทธิ์เหล่านั้นทุกอย่างก่อน และฉันกลายเป็นคนรั้งท้าย ทำไมพระต้องโยนของใส่มือฉันขณะที่น้องได้รับจากมือ ความสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ลดศรัทธาที่ฉันมีต่อพุทธ แต่แค่ความศรัทธาก็ไม่ได้เป็นใบเบิกทางให้ฉันบวชเป็นพระได้ ฉันมั่นใจและภูมิใจกับเพศสภาพ วิถีชีวิต และตัวตนที่ฉันถืออยู่มาตั้งแต่เกิด แต่วัดไม่ใช่พื้นที่ของผู้หญิง ฉันเป็นผู้นำกลุ่มช่างเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง แต่ละโครงการนับพื้นที่ได้เกินกว่าร้อยตารางเมตร นับพื้นที่รวมแล้วมากกว่าที่พ่อของฉันทำไว้ แม้กระนั้นฉันกลับไม่เห็นตัวฉันอยู่ในเรื่องเล่าของสงฆ์ในบริบทงานของฉันที่ทำไว้ ฉันจึงลากเส้นทางการเดินทางด้วยรากฐานของจิตรกรรมฝาผนังไปสู่งานที่แสดงออกด้วยเสียงของผู้หญิงที่มองไม่เห็นในจิตรกรรมฝาผนังต้นแบบที่เป็นแบบฉบับ

งานนิทรรศการวูแมนิเฟสโต ความล่องไหลที่ต่อเนื่อง จัดขึ้นหลังจากวูแมนิเฟสโตล่วงเลยวัยเบญจเพศมาปีหนึ่งแล้ว เป็นเรื่องน่าสนใจว่าทำไมมันยังคงอยู่มานานขนาดนี้ สาเหตุน่าจะเป็นเพราะว่าวูแมนิเฟสโตมาจากจุดเริ่มต้นที่ไร้กฎเกณฑ์ปราการ ไม่มีความทะเยอทะยาน ไม่มีหมุดหมายสำคัญที่ต้องปักธงหลักชัยและจุดมุ่งหมายปลายทางที่ต้องไปให้ถึง ไม่เคยไปทึกทักว่าเป็นเจ้าของใคร และไม่มีใครสามารถทึกทักว่าเป็นเจ้าของวูแมนิเฟสโต เพราะมันมาจากการเดินทางคือการสะท้อนทบทวนจากตัวตนและวิถีทางในหลายช่วงของชีวิตของผู้หญิง วูแมนิเฟสโตจึงมีตัวของมันเองเท่านั้นที่ท้าทายตัวเอง แม้ขอบฟ้าของมันสั้นและแคบแต่ก็ไม่มีบทลงท้ายจึงทำให้ปลายมันเปิดตลอดกาล สิ่งที่ทำปัจจุบันคือการกระทำที่หยั่งไปถึงต้นรากความตั้งใจเริ่มแรก คำพูดที่เหมือนจะเป็นคตินิยมของวูแมนิเฟสโตไปแล้วคือ จุดนัดพบของศิลปินผู้หญิงตามสภาพที่อำนวยให้ช่วงนั้น โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขว่าจะต้องทำงาน คำบอกกล่าวนี้เหมือนจะง่ายแต่ทำให้ทุกคนเหลียวหน้าเหลียวหลังกันเลิ่กลั่กว่าแล้วยังไงต่อ การไม่ทำคือรูปแบบหนึ่งของการขบถต่อโครงสร้างแบบฉบับมองจากสายตาชายเป็นใหญ่ที่ครอบครองพื้นที่อยู่

นั่นคือ ความหวังต้องเป็นหน้าที่ เป็นส่วนของความจำเป็นที่ต้องพึงรักษา มันไม่ได้มีมาจากความฝันอย่างลมๆ แล้งๆ หากต้องเป็นปัจจัยที่พึงมีและพึงแสวงหา 

ฉันขอระลึกถึงคำพูดของแม่ปานที่ถ่ายทอดให้ฉันระหว่างโครงการศิลปินในพำนักที่ไร่บุญบันดาล 2008

'ไร่บุญบันดาลเป็นสถานที่ที่มีมาแต่โบราณ ฉันรู้สึกเหมือนว่าได้ถูกลิขิตไว้ให้ต้องได้มาอยู่ที่นี่ ที่พวกเราทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ก็เพราะว่ามันเป็นอย่างนี้ มันถูกกำหนดมา ผืนดินนี้ที่เรารู้สึกผูกพันกับมัน เป็นแหล่งความรู้ที่ทุกคนได้เรียนรู้จากผืนดิน

เป็นที่ที่ผู้คนเดินทางมาจากทุกที่มาเก็บเกี่ยวบางสิ่งบางอย่างจากสถานที่แห่งนี้ ในชั่วอายุของฉัน ฉันคิดเสมอว่าผืนดินนี้จะเป็นเช่นนี้ เป็นพื้นที่ที่ผู้คนหลากหลายมาพบปะกัน มาสัมผัสความสุขร่วมกัน'

แม่ปาน ภาระหอม 2008 

Human Sculpture Workshop (Set of 17 Photographs)
Human Sculpture Workshop (Set of 17 Photographs). Asia Art Archive, Woamnifesto Archive, Photographic Documentation, 2008 Womanifesto Workshop, 7 November Workshops. https://aaa.org.hk/archive/264167, accessed 18 November 2025.

ฉันรู้สึกถึงความอุ่นในหัวใจที่คิดว่า วันหนึ่งเด็กน้อยวัยอนุบาลที่มีธารา อึ้ง อิซาเบล เคียชเชอร์ และสองพี่น้อง สุโร ธังกาล และ ทริโม อัศมารา อาดี ผู้ที่ฉันเชิญให้เข้าร่วมโครงการเขียนหนังสือให้ห้องสมุดบนหลังอูฐ ที่นิโลฟาร์ อัฆมุท ก่อตั้งขึ้นเพื่อกระจายให้กับโรงเรียนแถวชายแดนในปากีสถาน จะตระหนักว่าหนังสือที่เขาเขียน ปั้นและวาดภาพประกอบให้นั้น ได้รับการแปลเป็นภาษาอูรดู และได้เดินทางไปถึงพื้นที่ ที่เด็กไม่มีโอกาสเข้าถึงหนังสือได้ 

ขอบคุณเพื่อนศิลปินที่แสดงงาน ที่มองเห็นแนวทางร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของวูแมนิเฟสโตในช่วงที่ผ่านมาและส่งงานมา ในการหาความหมายและพื้นที่ของจินตนาการร่วมกัน ในความสัมพันธ์แบบครอบครัวขยาย มันเป็นการเดินทางเงียบแต่สว่างไสวพร้อมกันไปในตัว ถามว่าวูแมนิเฟสโตมีคำตอบให้ทุกคำถามไหม น่าจะไม่มีคำตอบให้มากเกินกว่าที่ได้เห็นประจักษ์จากประวัติเส้นทางการเดินทาง ไม่ใช่ว่าเพราะมันมีพลังหรือสามารถมากกว่าศิลปินอื่น ความจริงที่ชัดเจนมากคือตราบเท่าที่มีความต้องการพื้นที่นี้ ที่ให้โอกาสที่ไม่ได้รับจากพื้นที่อื่น เราก็ยังต้องการให้มีพื้นที่นี้อยู่ต่อไป ฉันหวังว่ามันจะเป็นการเริ่มต้นสำรวจการเดินทางไปสู่อนาคตอันใกล้และไกล

นั่นเท่ากับว่าหินกรวดเรียบใสในมือที่ฉันเอ่ยถึงเมื่อเริ่มต้นบทความนี้ได้สำแดงอานุภาพของมันเองแล้วโดยไม่ต้องอาศัยคำอธิษฐานใด

Related pages

Portrait of Phaptawan
Maker - Artists/Collaborators, Contributors
Front cover of the Tradisexion exhibition catalogue
Making - Projects

Share a Reflection

log in to share a reflection.